วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

การส่งเสริมการเกษตรเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าว



การส่งเสริมการเกษตรเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าว


1.  ความสำคัญ

                ราชบัณฑิตยสถาน (2525) ให้คำจำกัดอธิบายเกี่ยวกับคำว่าข้าวว่า ชื่อไม้ล้มลุกหลายชนิด หลายสกุล ในวงศ์ Poaceae หรือ Gramineae โดยเฉพาะชนิด Oryza sativa L. ซึ่งใช้เมล็ดเป็นอาหารหลัก มีหลายพันเช่นข้าวเจ้า ข้าวเหนียว พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน

                ข้าวมีความสำคัญต่อมนุษย์มาก พอๆกับข้าวสาลี ประชากรกว่าครึ่งของโลกบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก (Chang, 1979) ข้าว เป็นอาหารหลักประจำชาติและเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญยิ่งของไทย โดยมีชาวนา 3.7 ล้านครัวเรือน จากเกษตรกรทั้งประเทศ 5.6 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมด พื้นที่เพาะปลูกข้าวปีละประมาณ 56 – 58 ล้านไร่ ได้ผลผลิตปีละประมาณ 28.0 – 30.0 ล้านตันข้าวเปลือก มูลค่าปีละประมาณ 180,000 – 200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรในระดับรากหญ้า อีกทั้งยังเป็นสิ้นค้าส่งออกที่สำคัญสามารถสร้างรายได้และนำเงินตราเข้าประเทศปีละประมาณ 80,000 – 100,000 ล้านบาท รวมทั้งเป็นพืชที่สร้างความมั่นคงด้านอาหารด้วย (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์, 2550)

                คนไทยร้อยละ 80 บริโภคข้าว ในปี พ.ศ.2545 คนไทยบริโภคข้าวเฉลลี่ยประมาณ 101 กิโลกรัม ข้าวสารต่อคนต่อปี ลดลงจาก 130 กิโลกรัม เมื่อปี พ.ศ. 2535 (กรมวิชาการเกษตร, 2545) ข้าวนอกจากใช้เป็นอาหารหลักแล้วยังเป็นส่วนประกอบหลักในการทำขนมหวานของขบเคี้ยวของทั้งคนไทยและต่างประเทศด้วยข้าวจึงจัดเป็นสินค้าที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงทางอาหาร (Food security) ในหลายประเทศข้าวเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง แม้ว่าประเทศ จะมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศก็ตาม แต่รัฐยังคงสนับสนุน (Subsidy) ให้เกษตรกรทำการปลูกข้าวต่อไปและมักจะไม่ยินยอมให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ




                ประเทศไทย เศรษฐกิจหลักที่ทำรายได้ให้กับคนไทย คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวการบริการ และ ทรัพยากรธรรมชาติ ถือเป็น ภาพรวมทางเศรษฐกิจอ้างอิงเมื่อ พ.ศ. 2546 มี GDP 5,930.4 พันล้านบาท ส่งออกมูลค่า 78.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่นำเข้า 74.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในด้านเกษตรกรรมข้าวถือเป็นผลผลิตที่สำคัญที่สุด เป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้วยสัดส่วนการส่งออก รองลงมาคือ เวียดนาม ร้อยละ 20 ตามลำดับ (Wikimedia Foundation, 2551)

                การส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 1 ของโลกของไทย มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 28 – 30 ของโลก โดยมีรายได้จากการส่งออกข้าว ปีละ 80,000 – 100,000 ล้านบาท จากปริมาณการส่งออกปีละ 7.3 – 7.5 ล้านตันข้าวสาร เป็นข้าวคุณภาพดีร้อยละ 55, ข้าวคุณภาพปานกลางร้อยละ 11, ข้าวคุณภาพต่ำร้อยละ 4, ข้าวนึ่งร้อยละ 25  ข้าวเหนียวร้อยละ 4 และข้าวกล้องร้อยละ 1 โดยในช่อง 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการส่งออกสูงขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 1.74 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการค้าของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.79 ต่อปี (เกษตรและสหกรณ์, 2550)

                จากความสำคัญของข้าวที่มีต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยยิ่งนี้ การพัฒนาข้าวและชาวนาไทย ให้อาชีพการทำนามีความมั่นคงชาวนามีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืนมีเสถียรภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงมีความสำคัญและมีความหมายต่อความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง

                2. สภาพการผลิตข้าวของไทย
                ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าว รวมประมาณ 56 – 58 ล้านไร่ แบ่งการผลิตข้าวเป็น 2 ฤดู ได้แก่ ข้าวนาปีมีพื้นที่เพาะปลูก 56 – 58 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 43 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ได้ผลผลิต 19.00 – 21.00 ล้านตันข้าวเปลือก (12.54 – 13.86 ล้านตันข้าวสาร) ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร 330 – 340 กิโลกรัมต่อไร ข้าวนาปรังมีพื้นที่เพาะปลูก 8.0 – 9.0 ล้านไร่ (ทับซ้อนพื้นที่ข้าวนาปี) ผลผลิต 6.0 – 7.0 ล้านตันข้าวเปลือก (3.96 – 4.62 ล้านตันข้าวสาร) ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร 660 – 700 กิโลกรัมต่อไร โดยไทยผลิตข้าวได้เป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นเพียงร้อยละ 4 ของผลผลิตโลกประมาณ 606 – 636 ล้านตันข้าวเปลือก (400 – 420 ล้านตันข้าวสาร) โดยจีนเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่ง อินเดีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศและเวียดนาม เป็นผู้ผลิตอันดับรองลงมา ตามลำดับ (กรมการข้าว, 2550)

                3.  ปัญหาการผลิตข้าวของไทย

                ปัญหาหลักของการทำนาในประเทศไทยคือพื้นที่เพาะปลูกต่อรายมีขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 20 ไร่ต่อครัวเรือน ไม่เหมาะสมที่จะใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานคนและไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ ประกอบชาวนาขาดความรู้ ในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมเกิดการสูญเสียในขณะเก็บเกี่ยวสูงประมาณร้อยละ 5 – 10 ของปริมาณผลผลิต และรูปแบบการผลิตที่ชาวนาปรับเปลี่ยนจากการใช้แรงงานครัวเรือนเป็นการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวนาปีและนาปรังเพิ่มจากตันละ 4,621 บาท ตันละ 3,581 บาท ในปี 2545/46 เป็นตันละ 6,002 บาท และตันละ 4,298 บาท ในปี 2549/50 ตามลำดับ นอกจากนั้นแล้ว การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวยังไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เกิดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวสูงถึงร้อยละ 5 – 7 ของปริมาณของผลผลิต และผลผลิตที่มีคุณภาพต่ำ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อปรับปรุงและอนุรักษ์พันธุ์ข้าวยังไม่เพียงพอ และขาดการดำเนินการอย่างต่อเนื่องที่จะให้มีการปรับปรุงที่เกิดรูปธรรมได้เราอาจจะสรุปปัญหาการผลิตข้าวของไทยได้ คือ

1.  ปัญหาประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ผลผลิตต่อไร่ต่ำเนื่องขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีรวมทั้งยังมีการปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมเพราะพื้นที่นาส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 อยู่ในเขตน้ำฝน และสภาพพื้นที่ขาดการปรับปรุงบำรุงดิน สภาพดินเสื่อมโทรม ขาดอินทรียวัตถุ ขาดแคลนแหล่งน้ำ ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไรทั้งประเทศประมาณ 439 กิโลกรัม/ไร่ ต่ำกว่าผลผลิตเฉลี่ยของโลกที่ประมาณ 650 กิโลกรัม/ไร่ โดยประมาณผลผลิตของผู้ผลิตสำคัญ ได้แก่ จีน ประมาณ 1,002 กิโลกรัม/ไร่อินโดนีเซีย ประมาณ 734 กิโลกรัม/ไร่ เวียดนาม ประมาณ 742  กิโลกรัม/ไร่และอินเดีย ประมาณ 496 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ

2.  ปัญหาการจัดการปลูกข้าวไม่มีการจัดเขตพื้นที่การปลูกที่เหมาะสม ทำให้มีการเพาะปลูกในสภาพพื้นที่ไม่เหมาะสม และไม่ตอบสนองต่อข้าวในแต่ละชนิดพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีการปลูกพืชหลากหลายในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลง

3.  ปัญหาการพัฒนาชาวนา ยังไม่มีการพัฒนาชาวนาเพื่อให้ความรู้และความสามารถในด้านการผลิต และการจัดการอย่างจริงจัง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งขาดการรวมตัวที่แข็งแกร่งพอ ในขณะที่สถาบันเกษตรกรที่มีอยู่มีเป้าหมายหลากหลาย ไม่มุ่งเน้นการพัฒนาการผลิตอย่างชัดเจนจึงเป็นอุปสรรคต่อการส่งต่อความรู้และเทคโนโลยี

4.  ปัญหาการแปรรูปข้าวส่วนใหญ่เป็นการแปรรูปขั้นปฐม (Primary product) จากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร โรงสีข้าวส่วนใหญ่เป็นโรวสีข้าวขนาดกลางและขนาดเล็กกระจ่ายอยู่ในท้องถิ่นชนบท ขาดการพัฒนาปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงการแปรสภาพได้ต้นข้าวสารปริมาณต่ำ ขณะที่โรงสีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเมืองต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสภาพแวดล้อมสูง และยังขาดการพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเช่นกัน

5.  ปัญหาการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากข้าวยังมีน้อยไม่หลากหลาย ส่วนใหญ่ยังเป็นผลิตภัณฑ์อย่าง่ายที่มีมูลค่าเพิ่มไม่มากนัก เช่น แป้ง เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมอบกรอบ ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น โดยมีมูลค่าประมาณร้อยละ 7 ของมูลค่าการส่งออกข้าวทั้งหมดหรือประมาณร้อยละ 2 ของมูลค่าส่งออกอาหารทั้งหมด แม้จะมีการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ข้าวที่หลากหลายแต่ยังไม่ได้นำมาผลิตในเชิงพาณิชย์มากนัก ธุรกิจผลิตภัณฑ์ข้าวส่วนใหญ่มีขนาดเล็กผลิตเพื่อใช้ในท้องถิ่นกระจ่ายอยู่ในทุกภูมิภาค การผลิตอาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขาดเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเครื่องจักรส่วนใหญ่ใช้มานานและขาดการบำรุงรักษาเท่าที่ควรคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานสุขอนามัย ผู้บริโภคจึงขาดความเชื่อมั่น

6.  ปัญหาการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าว ปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวยังค่อนข้างต่ำ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐาน โดยการส่งออกเพียงปีละ 5,000 – 6,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 7 – 8 ของมูลค่าส่งออกข้าวทั้งหมด และมีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีมูลค่าสูงมีน้อย ทำไห้ตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยค่อนข้างจำกัด และถูกขีดกันในรูปการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูง ขาดการศึกษาวิจัยรสนิยมและความต้องการของผู้บริโภคที่ชัดเจนในแต่ละประเทศ

7.  ปัญหาราคาข้าวผันผวน ราคาในประเทศอยู่ในระดับต่ำในช่วงต้นฤดู เนื่องจากผลผลิตกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ และผันแปรไปตามราคาในตลาดโลก รวมทั้งผลผลิตและสต็อกของประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านการตลาดสำหรับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เช่น ยุ้งฉาง ลานตาก เครื่องอบลดความชื้น คลัง และไซโล เป็นต้น ขาดมาตรฐานการซื้อขายข้าวเปลือกในขณะที่มีมาตรฐานข้าวสารแต่การซื้อขายไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

8.  ปัญหากลไกลตลาดอ่อนแอ โดยจากการที่ภาครัฐได้ดำเนินมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน แต่ที่ผ่านมามาตรการรับจำนำมักถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมจากชาวนา โดยการกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดมากเป็นผลทำให้เกิดความอ่อนแอในระบบตลาด รวมทั้งตัว ชาวนา นอกจากนี้ยังทำให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสม และเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งภาระการรับจำนำของรัฐบาลสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี 2547/48 และปี 2548/49 มีปริมาณรับจำนำสูงถึง 5.295 ล้านตัน และ 5.291 ล้านตันตามลำดับ (ปี 25462/47 มีการรับจำนำ 2.383 ล้านตัน) ซึ่งเป็นภาระทั้งในด้านค่าใช้จ่ายในการรับจำนำ การเก็บรักษาข้าวในสต็อก และการระบายสต็อกของรัฐบาล

9.  ปัญหาการเติบโตของการส่งออกมีอัตราต่ำ จากปัญหาการแข่งขันในการส่งออกกับต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น เวียดนาม ปากีสถาน จีน และพม่า รวมทั้งการแข่งขันกันเองของผู้ส่งออกข้าวไทย ส่งผลให้การส่งออกของไทยมีการขยายตัวในอัตราต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกอื่น กล่าวคือ การส่งออกปัจจุบันเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตการส่งออกข้าวของไทยอยู่ในอัตราร้อยละ 17 (บางปีถดถอย) ในขณะที่เวียดนาม มีอัตราการเติบโตของการส่งออกเป็นลำดับโดยในอัตราร้อยละ 32 มีความเสียเปรียบในด้านโครงสร้างการกำหนดราคาขาย เนื่องจากผู้ส่งออกของไทยมีอำนาจตอรองต่ำ ประกอบกับไทยยังมีความไม่พร้อมในเรื่องเรือขนส่ง ทำให้มีความเสียเปรียบในด้านการกำหนดราคาขาย


10.  ปัญหาด้านการจัดการขนถ่ายสินค้าข้าว ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทั้งตลาดกลางข้าว โรงสี ผู้ค้าส่งและผู้ส่งออกกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อรองรับการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีไซโล โกดังกลางคลังสินค้า กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย โดยส่วนใหญ่จะมีการขนส่งข้าวเปลือกและข้าวสารโดยทางถนน ใช้รถบรรทุกเพียงเที่ยวเดียว เกิดการสูญเปล่าส่วนหนึ่ง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งสูง สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในขณะที่ยังไม่มีการพัฒนาระบบการขนส่งในรูปแบบอื่นที่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ขาดการจัดระบบลอจิสติกส์ 


อ้างอิง :  กู้เกียรติ  สร้อยทอง . การส่งเสริมการเกษตรเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าว . 
            พ.ศ. 2552  .  สำนักงานส่งเสริมการผลิตข้าว  กรมการข้าว .

12 ความคิดเห็น:

  1. ข้าวที่กินยุวทุกวัน เกิดขึ้นได้เพราะชาวนา

    ตอบลบ
  2. ข้าวที่กินยุวทุกวัน เกิดขึ้นได้เพราะชาวนา

    ตอบลบ
  3. ข้าวมีความสำคัญกับเรามาก

    ตอบลบ
  4. ข้าวทุกเม็ดมีค่ากับเรามาก

    ตอบลบ
  5. ข้าวทุกเม็ดแลกด้วยความเหนื่อยของชาวนา

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณสำหรับคอมเม้นทุกคนน่ะจร้า

    ตอบลบ
  7. เนื้อหาดีมากค่ะ

    ตอบลบ
  8. ให้กำลังใจ ayunee ค่ะ เยี่ยมมาก

    ตอบลบ